เขาแกะ
เขาแกะ หรือชื่อพื้นเมืองอื่น เอื้องเขาแกะ, เขาควาย, เอื้องขี้หมา มีลักษณะช่อดอกตั้งขึ้น ใบมีลักษณะแบนคล้ายแวนด้า ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร และบางกว่ากล้วยไม้ชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน โคนใบซ้อนกันเป็นแผง ใบโค้งสลับกันในทางตรงกันข้าม ด้วยลักษณะนี้เองจึงได้ชื่อว่า “เขาแกะ” ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก มีดอกแน่นช่อ ดอกมีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร กลีบดอกทั้งกลีบนอกและกลีบในมีพื้นสีขาว มีแต้มสีม่วงครามที่ปลายกลีบทุกกลีบ ฐานของแผ่นปากและครึ่งหนึ่งของแผ่นปากที่ต่อกับฐานมีสีขาว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของแผ่นปากเป็นสีม่วงครามเช่นเดียวกับที่ปลายกลีบแต่สีเข้มกว่า ปากของเขาแกะคล้ายกับปากของไอยเรศ สีม่วงครามของเขาแกะบางต้นอาจมีสีต่างออกไป เช่น มีสีม่วงมากจนเกือบแดง เรียกว่า “เขาแกะแดง” บางต้นมีสีไปทางสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน บางต้นดอกมีสีขาวบริสุทธิ์ เรียกว่า “เขาแกะเผือก” ซึ่งค่อนข้างหาได้ยาก เดือยดอกยาวกว่าและแคบกว่าของไอยเรศ ปลายของเดือยดอกโค้งลง ดอกบานทนประมาณสองสัปดาห์
ชื่อวิทยาศาสตร์: Rhynchostylis coelestris Rchb. f.
ฤดูกาลออกดอก: เดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม
เขากวางอ่อน
เขากวางอ่อน หรือ เอื้องเขากวางอ่อน ชื่อวิทยาศาสตร์: Phalaenopsis cornucervi (Breda) Blume & Rchb. f. เป็นกล้วยไม้ป่า มีลักษณะช่อของดกคล้ายเขากวาง ฤดูกาลออกดอกทั้งปี พบได้ตามป่าเขาในสภาพภูมิอากาศอบอุ่นชื้น พบได้ในประเทศไทยหรือประเทศใกล้เคียง
สกุล: Phalaenopsis
วงศ์: ORCHIDACEAE
วงศ์ย่อย: Vandoideae
ช้างกระ
ช้างกระ หรือชื้อพื้นเมืองว่า เอื้องต๊กโต (ชื่อวิทยาศาสตร์: Rhynchostylis gigantea (Lindl.) Ridl.) มีลักษณะ ใบหนา แข็ง ยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร ปลายใบเป็นแฉก 2 แฉก มน และสองแฉกของใบไม่เท่ากัน รากเป็นรากอากาศ มีขนาดใหญ่ ปลายรากมีสีเขียว ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอกโค้งลง ช่อดอกยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร มีดอกแน่นช่อ ช่อละ 25-60 ดอก ขนาดดอกประมาณ 2.5-3.0 เซนติเมตร กลีบนอกคู่ล่างกว้างยาวพอๆ กันกับกลีบนอกบน ส่วนกลีบในเรียวกว่ากลีบนอก เดือยดอกอยู่ในลักษณะเหยียดตรงไปข้างหน้า ปลายแผ่นปากหนา แข็งและปลายสองข้างเบนเข้าหากัน ปลายปากมี 3 แฉก สองแฉกข้างมน แฉกกลางมนและมีขนาดเล็กกว่ามาก ใกล้โคนปากด้านบนมีสันนูนเตี้ยๆ 2 สัน ดอกมีกลิ่นหอมฉุน หอมไกล
ฤดูกาลออกดอกในช่วง เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
คัทลียาควีนสิริกิติ์
คัทลียาควีนสิริกิติ์ เป็นกล้วยไม้พันธุ์คัทลียาสีขาว กลางดอกสีเหลือง ช่อหนึ่งมี 2-3 ดอก ออกดอกได้ตลอดทั้งปี บริษัทกล้วยไม้เก่าแก่ของอังกฤษชื่อ แบล็กแอนด์ฟลอรี (Black & Flory) ซึ่งเป็นผู้ผสมขึ้นและได้รับรางวัลระดับสูงจากราชสมาคมไม้ประดับ (Royal Horticultural Society) แห่งอังกฤษ ได้ขอพระราชทานพระราชานุญาต ตั้งชื่อตามพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยจดทะเบียนเมื่อ พ.ศ. 2501
รองเท้านารีดอยตุง
รองเท้านารีดอยตุง
ชื่อพื้นเมืองอื่น:
ชื่อสามัญ: รองเท้านารีดอยตุง
ชื่อวิทยาศาสตร์: Paphiopedilum charlesworthii (Rolfe) Pfitzer
สกุล: Paphiopedilum
วงศ์: ORCHIDACEAE
วงศ์ย่อย: Cypripedioideae
ประเภท:
ค้นพบโดย: Mr.R.Moore ในปี 1893 ในประเทศพม่า
ลักษณะ: พุ่มต้นกว้างประมาณ 20-25 ซม. ใบกว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 20-25 ซม. ใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ใต้ใบบริเวณโคนกาบใบมีจุดประสีม่วง แตกหน่อง่าย มักเจริญเติบโตเป็นกอ ดอกเป็นดอกเดี่ยว ขนาดดอก กว้างประมาณ 7-9 ซม. ช่อตั้งตรงยาว 10-12 ซม. กลีบบนพื้นสีขาว มีเส้นลายสีชมพูเข้มหนาแน่น ไล่จากโคนกลีบขึ้นไปด้านบน กลีบในแคบงุ้มมาด้านหน้ามีสีเหลืองอมน้ำตาล กระเป๋าสีเหลืองอมน้ำตาลเป็นมัน โล่สีขาว กึ่งกลางมีติ่งสีเหลือง
การเติบโต:
ฤดูกาลออกดอก: สิงหาคม – ตุลาคม
แหล่งที่พบ: พบอยู่ตามภูเขาหินปูน โดยขึ้นอยู่สูง 1,200–1,600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตามรอยแยกของหินที่มีลักษณะเป็นแอ่งเล็กๆ ปกคลุมไปด้วยมอส โดยได้รับแสงค่อนข้างมาก แต่ไม่สัมผัสแสงอาทิตย์โดยตรง พบที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย รัฐฉานในพม่า และทางตะวันออกของรัฐอัสสัมในอินเดีย
รองเท้านารีฝาหอย
· ชื่อพื้นเมืองอื่น:
· ชื่อสามัญ: รองเท้านารีฝาหอย
· ชื่อวิทยาศาสตร์: Paphiopedilum bellatulum (Rchb. f.) Pfitzer
· สกุล: Paphiopedilum
· วงศ์: ORCHIDACEAE
· วงศ์ย่อย: Cypripedioideae
· ประเภท:
· ค้นพบโดย: Messrs Low and Co. ในปี 1888
· ลักษณะ: พุ่มต้นกว้างประมาณ 20-25 ซม. สูงประมาณ 10 ซม. ใบกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 15-17 ซม. ใบด้านบนเป็นลายสีเขียวสลับเขียวอ่อน ใต้ท้องใบมีจุดสีม่วงเข้มกระจายหนาแน่นทั่งใบ มักเจริญเติบโตเป็นกอใหญ่ ออกดอกเดี่ยว ค่อนข้างกลม กว้างประมาณ 3.5-7 ซม. กลีบบนและกลีบในสีขาวเป็นมัน ค่อนข้างหนา กลีบมีจุดสีม่วง-น้ำตาลขนาดใหญ่กระจายทั่วกลีบ ก้านช่อดอกอ่อน และสั้นขนาด 3-5 ซม.
· การเติบโต:
· ฤดูกาลออกดอก: พฤษภาคม – กรกฎาคม
แหล่งที่พบ: พบอยู่ตามภูเขาหินปูน โดยขึ้นอยู่สูง 700-1200 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในป่าดิบภูเขา โดยขึ้นอยู่ตามรอยแตกของหินที่ปกคลุมไปด้วยมอส หรือตามบริเวณป่าไผ่ที่มีการทับถมของใบไผ่ และมีความชื้นสูง ได้ร่มเงาจากต้นไม้ โดยจะได้รับแสงที่ทะลุผ่านตามช่องของใบไม้ และจะได้รับแสงมากขึ้นเมื่อป่ามีการผลัดใบในหน้าหนาว ตามดอยสูงทางภาคเหนือ เช่น ดอยอินทนนท์ และดอยเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่
รองเท้านารีเหลืองกระบี่
ชื่อพื้นเมืองอื่น:
ชื่อสามัญ: เหลืองกระบี่
ชื่อวิทยาศาสตร์: Paphiopedilum exul (Ridl.) Kerchove
สกุล: Paphiopedilum
วงศ์: ORCHIDACEAE
วงศ์ย่อย: Cypripedioideae
ประเภท:
ค้นพบโดย: Mr.H.Ridley ในปี 1891 โดยตั้งชื่อ Paph.insigne var.exul ภายหลังจึงจำแนกมาเป็นสายพันธุ์เฉพาะ คือ Paph.exul
ลักษณะ: พุ่มต้นกว้างประมาณ 30-40 ซม. ใบกว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 20-30 ซม. ใบสีเขียวเป็นมัน แตกหน่อง่าย มักเจริญเติบโตเป็นกอใหญ่ ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดดอก 6-7 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ 12-15 ซม. กลีบบนมีริมสีขาว โคนกลีบสีเขียวปนเหลือง และมีจุดประขนาดใหญ่สีม่วงปนน้ำตาล กลีบในแคบสีเหลืองเป็นมัน ริมกลีบเป็นคลื่นงุ้มมาด้านหน้า มีเส้นสีน้ำตาลกลางกลีบ กระเป๋าสีเหลืองอมเขียวเป็นมันเงา
การเติบโต:
ฤดูกาลออกดอก: เมษายน – มิถุนายน
แหล่งที่พบ: พบอยู่ตามภูเขาหินปูนที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล หรือตามเกาะที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน โดยขึ้นอยู่สูง 10 –100 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตามรอยแยกของหินที่ปกคุมไปด้วยมอส โดยมีสภาพแวดล้อมคล้ายกับรองเท้านารีเหลืองตรัง และรองเท้านารีขาวสตูล แต่รองเท้านารีเหลืองกระบี่จะอยู่ในบริเวณที่ได้รับแสงค่อนข้างมาก บางครั้งพบขึ้นอยู่บนหินกลางแจ้ง โดยสามารถพบได้ตามภูเขาที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล หรือตามเกาะในประเทศไทย พบในจังหวัด ตรัง กระบี่ พังงา สตูล
รองเท้านารีเหลืองตรัง
· ชื่อพื้นเมืองอื่น: เหลืองพังงา , ขาวชุมพร
· ชื่อสามัญ: เหลืองตรัง
· ชื่อวิทยาศาสตร์: Paphiopedilum godefroyae (Godefroy-Lebeuf) Stein
· สกุล: Paphiopedilum
· วงศ์: ORCHIDACEAE
· วงศ์ย่อย: Cypripedioideae
· ประเภท:
· ค้นพบโดย: ชาวอังกฤษชื่อ Mr.Murton แห่ง Royal Botanical Gardens Kew,England
· ลักษณะ: พุ่มต้นกว้างประมาณ 15-20 ซม. ใบกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 15-17 ซม. ใบด้านบนเป็นลายสีเขียวเข้มสลับเขียวเทา บางต้นสีเขียวเข้มจะมากกว่าจนดูคล้ายใบสีเขียวเข้ม ใต้ท้องใบสีม่วงคล้ำ ดอกค่อนข้างกลม กว้างประมาณ 5-8 ซม. ใหญ่กว่ารองเท้านารีขาวสตูลเล็กน้อย สีพื้นดอกมีทั้ง สีขาว สีครีม สีเหลืองอ่อนถึงเหลืองเข้ม มีลายสีม่วงแดงถึงม่วงน้ำตาลกระจายหนาแน่นทั่วกลีบดอก ก้านช่อดอกค่อนข้างสั้นประมาณ 5-10 ซม. ช่อหนึ่งมี 1-2 ดอก
· การเติบโต:
· ฤดูกาลออกดอก: มีนาคม – มิถุนายน
แหล่งที่พบ: พบอยู่ตามภูเขาหินปูนที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล หรือตามเกาะที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน โดยขึ้นอยู่สูง 10 –100 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตามรอยแยกของหินที่ปกคุมไปด้วยมอส ซากใบไม้ที่ผุพังทับถมด้วยตะกอนดิน โดยขึ้นอยู่ตามซอกหินที่ได้รับร่มเงาของชะง่อนหิน หรือพุ่มไม้เตี้ยที่มีใบปกคุมหนาทึบ แสงแดดและน้ำฝนไม่สามารถสัมผัสได้โดยตรง แต่จะได้รับแสงที่สะท้อนจากน้ำทะเล เป็นรองเท้านารีที่พบอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกับรองเท้านารีขาวสตูล พบในจังหวัดตรัง กระบี่ พังงา สตูล และบริเวณหมู่เกาะในฝั่งทะเลด้านตะวันตก
รองเท้านารีเหลืองปราจีน
รองเท้านารีเหลืองปราจีน เป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นพุ่มต้นกว้างประมาณ 20-25 ซม. สูงประมาณ 10-20 ซม. ใบกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 10-20 ซม. ใบด้านบนเป็นลายสีเขียวสลับเขียวอ่อน ใต้ท้องใบมีจุดประสีม่วงเล็กน้อย ดอกกว้างประมาณ 3.5-7 ซม. ก้านช่อดอกค่อนข้างสั้นประมาณ 5-7 ซม. ช่อหนึ่งมี 1-2 ดอก กลีบบนและกลีบในสีเหลืองมีจุดประสีม่วงกระจายทั่วกลีบ
พบอยู่ตามภูเขาหินปูน โดยขึ้นอยู่สูง 300-500 เมตร จากระดับน้ำทะเล บริเวณป่าเบญจพรรณ ที่อยู่ใกล้ทะเลหรือใกล้ลำธาร โดยขึ้นอยู่พื้นที่ค่อนข้างแฉะ ความชื้นสูง ปกคลุมด้วยพืชชั้นต่ำพวกมอส ซากใบไม้ที่ผุพังทับถม ได้รับแสงค่อนข้างมาก เป็นรองเท้านารีที่มีการกระจายพันธุ์เป็นบริเวณกว้าง ในประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชาเวียดนาม และตอนใต้ของจีน
ชื่อพื้นเมืองอื่น:
ชื่อสามัญ: เหลืองปราจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Paphiopedilum concolor (Lindl.) Pfitzer
สกุล: Paphiopedilum
วงศ์: ORCHIDACEAE
วงศ์ย่อย: Cypripedioideae
ประเภท:
ค้นพบโดย: Mr.C. Parish ในปี 1859
ลักษณะ:
การเติบโต:
ฤดูกาลออกดอก: มีนาคม – พฤษภาคม
เขากวางอ่อน
เขากวางอ่อน หรือ เอื้องเขากวางอ่อน ชื่อวิทยาศาสตร์: Phalaenopsis cornucervi (Breda) Blume & Rchb. f. เป็นกล้วยไม้ป่า มีลักษณะช่อของดกคล้ายเขากวาง ฤดูกาลออกดอกทั้งปี พบได้ตามป่าเขาในสภาพภูมิอากาศอบอุ่นชื้น พบได้ในประเทศไทยหรือประเทศใกล้เคียง
สกุล: Phalaenopsis
วงศ์: ORCHIDACEAE
วงศ์ย่อย: Vandoideae
ช้างกระ
ช้างกระ หรือชื้อพื้นเมืองว่า เอื้องต๊กโต (ชื่อวิทยาศาสตร์: Rhynchostylis gigantea (Lindl.) Ridl.) มีลักษณะ ใบหนา แข็ง ยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 5-7 เซนติเมตร ปลายใบเป็นแฉก 2 แฉก มน และสองแฉกของใบไม่เท่ากัน รากเป็นรากอากาศ มีขนาดใหญ่ ปลายรากมีสีเขียว ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอกโค้งลง ช่อดอกยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร มีดอกแน่นช่อ ช่อละ 25-60 ดอก ขนาดดอกประมาณ 2.5-3.0 เซนติเมตร กลีบนอกคู่ล่างกว้างยาวพอๆ กันกับกลีบนอกบน ส่วนกลีบในเรียวกว่ากลีบนอก เดือยดอกอยู่ในลักษณะเหยียดตรงไปข้างหน้า ปลายแผ่นปากหนา แข็งและปลายสองข้างเบนเข้าหากัน ปลายปากมี 3 แฉก สองแฉกข้างมน แฉกกลางมนและมีขนาดเล็กกว่ามาก ใกล้โคนปากด้านบนมีสันนูนเตี้ยๆ 2 สัน ดอกมีกลิ่นหอมฉุน หอมไกล
ฤดูกาลออกดอกในช่วง เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
คัทลียาควีนสิริกิติ์
คัทลียาควีนสิริกิติ์ เป็นกล้วยไม้พันธุ์คัทลียาสีขาว กลางดอกสีเหลือง ช่อหนึ่งมี 2-3 ดอก ออกดอกได้ตลอดทั้งปี บริษัทกล้วยไม้เก่าแก่ของอังกฤษชื่อ แบล็กแอนด์ฟลอรี (Black & Flory) ซึ่งเป็นผู้ผสมขึ้นและได้รับรางวัลระดับสูงจากราชสมาคมไม้ประดับ (Royal Horticultural Society) แห่งอังกฤษ ได้ขอพระราชทานพระราชานุญาต ตั้งชื่อตามพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยจดทะเบียนเมื่อ พ.ศ. 2501
รองเท้านารีดอยตุง
รองเท้านารีดอยตุง
ชื่อพื้นเมืองอื่น:
ชื่อสามัญ: รองเท้านารีดอยตุง
ชื่อวิทยาศาสตร์: Paphiopedilum charlesworthii (Rolfe) Pfitzer
สกุล: Paphiopedilum
วงศ์: ORCHIDACEAE
วงศ์ย่อย: Cypripedioideae
ประเภท:
ค้นพบโดย: Mr.R.Moore ในปี 1893 ในประเทศพม่า
ลักษณะ: พุ่มต้นกว้างประมาณ 20-25 ซม. ใบกว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 20-25 ซม. ใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ใต้ใบบริเวณโคนกาบใบมีจุดประสีม่วง แตกหน่อง่าย มักเจริญเติบโตเป็นกอ ดอกเป็นดอกเดี่ยว ขนาดดอก กว้างประมาณ 7-9 ซม. ช่อตั้งตรงยาว 10-12 ซม. กลีบบนพื้นสีขาว มีเส้นลายสีชมพูเข้มหนาแน่น ไล่จากโคนกลีบขึ้นไปด้านบน กลีบในแคบงุ้มมาด้านหน้ามีสีเหลืองอมน้ำตาล กระเป๋าสีเหลืองอมน้ำตาลเป็นมัน โล่สีขาว กึ่งกลางมีติ่งสีเหลือง
ฤดูกาลออกดอก: สิงหาคม – ตุลาคม
แหล่งที่พบ: พบอยู่ตามภูเขาหินปูน โดยขึ้นอยู่สูง 1,200–1,600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตามรอยแยกของหินที่มีลักษณะเป็นแอ่งเล็กๆ ปกคลุมไปด้วยมอส โดยได้รับแสงค่อนข้างมาก แต่ไม่สัมผัสแสงอาทิตย์โดยตรง พบที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย รัฐฉานในพม่า และทางตะวันออกของรัฐอัสสัมในอินเดีย
iองเท้านารีฝาหอย
ชื่อพื้นเมืองอื่น:
ชื่อสามัญ: รองเท้านารีฝาหอย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Paphiopedilum bellatulum (Rchb. f.) Pfitzer
สกุล: Paphiopedilum
วงศ์: ORCHIDACEAE
วงศ์ย่อย: Cypripedioideae
ประเภท:
ค้นพบโดย: Messrs Low and Co. ในปี 1888
ลักษณะ: พุ่มต้นกว้างประมาณ 20-25 ซม. สูงประมาณ 10 ซม. ใบกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 15-17 ซม. ใบด้านบนเป็นลายสีเขียวสลับเขียวอ่อน ใต้ท้องใบมีจุดสีม่วงเข้มกระจายหนาแน่นทั่งใบ มักเจริญเติบโตเป็นกอใหญ่ ออกดอกเดี่ยว ค่อนข้างกลม กว้างประมาณ 3.5-7 ซม. กลีบบนและกลีบในสีขาวเป็นมัน ค่อนข้างหนา กลีบมีจุดสีม่วง-น้ำตาลขนาดใหญ่กระจายทั่วกลีบ ก้านช่อดอกอ่อน และสั้นขนาด 3-5 ซม.
การเติบโต:
ฤดูกาลออกดอก: พฤษภาคม – กรกฎาคม
แหล่งที่พบ: พบอยู่ตามภูเขาหินปูน โดยขึ้นอยู่สูง 700-1200 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในป่าดิบภูเขา โดยขึ้นอยู่ตามรอยแตกของหินที่ปกคลุมไปด้วยมอส หรือตามบริเวณป่าไผ่ที่มีการทับถมของใบไผ่ และมีความชื้นสูง ได้ร่มเงาจากต้นไม้ โดยจะได้รับแสงที่ทะลุผ่านตามช่องของใบไม้ และจะได้รับแสงมากขึ้นเมื่อป่ามีการผลัดใบในหน้าหนาว ตามดอยสูงทางภาคเหนือ เช่น ดอยอินทนนท์ และดอยเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม
รองเท้านารีเหลืองกระบี่
ชื่อพื้นเมืองอื่น:
ชื่อสามัญ: เหลืองกระบี่
ชื่อวิทยาศาสตร์: Paphiopedilum exul (Ridl.) Kerchove
สกุล: Paphiopedilum
วงศ์: ORCHIDACEAE
วงศ์ย่อย: Cypripedioideae
ประเภท:คือ Paph.exul
ค้นพบโดย: Mr.H.Ridley ในปี 1891 โดยตั้งชื่อ Paph.insigne var.exul ภายหลังจึงจำแนกมาเป็นสายพันธุ์เฉพาะ
ลักษณะ: พุ่มต้นกว้างประมาณ 30-40 ซม. ใบกว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 20-30 ซม. ใบสีเขียวเป็นมัน แตกหน่อง่าย มักเจริญเติบโตเป็นกอใหญ่ ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดดอก 6-7 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ 12-15 ซม. กลีบบนมีริมสีขาว โคนกลีบสีเขียวปนเหลือง และมีจุดประขนาดใหญ่สีม่วงปนน้ำตาล กลีบในแคบสีเหลืองเป็นมัน ริมกลีบเป็นคลื่นงุ้มมาด้านหน้า มีเส้นสีน้ำตาลกลางกลีบ กระเป๋าสีเหลืองอมเขียวเป็นมันเงา
ฤดูกาลออกดอก: เมษายน – มิถุนายน
แหล่งที่พบ: พบอยู่ตามภูเขาหินปูนที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล หรือตามเกาะที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน โดยขึ้นอยู่สูง 10 –100 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตามรอยแยกของหินที่ปกคุมไปด้วยมอส โดยมีสภาพแวดล้อมคล้ายกับรองเท้านารีเหลืองตรัง และรองเท้านารีขาวสตูล แต่รองเท้านารีเหลืองกระบี่จะอยู่ในบริเวณที่ได้รับแสงค่อนข้างมาก บางครั้งพบขึ้นอยู่บนหินกลางแจ้ง โดยสามารถพบได้ตามภูเขาที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล หรือตามเกาะในประเทศไทย พบในจังหวัด ตรัง กระบี่ พังงา สตูล
อ้างอิงจาก http://www.thainame.net/weblampang/wang/index_files/Page643.htm
|